การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย
การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยสามารถปฏิบัติได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
1. จัดให้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ เช่น การอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านทั้งลำตัด เพลงฉ่อย เพลงเรือ ด้วยการจัดชมรมประจำท้องถิ่น หรือการเชิญพ่อเพลงแม่เพลงในชุมชนมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนรุ่นหลัง หรือจัดกิจกรรมขึ้นในโรงเรียน เป็นต้น
2. เปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนในสังคมที่ละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย เช่น ควรส่งเสริมการศึกษาและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสมุนไพรไทย เช่น ที่โรงพยาบาลอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ได้นำสมุนไพรต่าง ๆ มาสกัดเป็นยารักษาโรค เครื่องสำอาง ขายให้กับประชาชนทั่วไป เป็นต้น
3. ร่วมกันทำให้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงการจัดแสดงหรือรณรงค์เป็นบางช่วงเท่านั้น เช่น บางท้องถิ่น บางหน่วยงานรณรงค์ให้คนในท้องถิ่นหรือในหน่วยงานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าพื้นเมือง ก็ควรหาแบบเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับคนทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ราคาย่อมเยา ไม่ควรให้คนรุ่นใหม่คิดว่าการแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองเป็นความเชย ดูแลรักษายาก ราคาแพง และเป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะผู้สูงอายุหรือใช้แต่งเฉพาะเวลามีงานสำคัญเท่านั้น
4. สร้างจิตสำนึกให้คนไทยเห็นคุณค่าและร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เช่น ส่งเสริมและปลูกฝังให้เยาวชนรักษากิริยามารยาทแบบไทย เช่น มีสัมมาคารวะ เคารพผู้ใหญ่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และรักนวลสงวนตัว รวมทั้งส่งเสริมให้ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องทั้งการพูดและการเขียน เช่น รณรงค์ให้พูดออกเสียงภาษาไทยให้ชัดเจน ไม่พูดภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ เป็นต้น
วิศวกรรมศาสตร์กับการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555
ภูมิปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน
3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
คือ
1. ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก
สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และธรรมชาติ
2. ความสัมพันธ์ของคนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม
หรือในชุมชน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเหนือธรรมชาติ
ตลอดทั้งสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งหลาย
ทั้ง
3 ลักษณะนี้ คือ
สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน
สะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม
ภูมิปัญญาจึงเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของคนไทย
เราซึ่งเป็นประชาชนชาวไทยควรอนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมไทยภูมิปัญญาต่างๆไม่ให้สูญหายไป
ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมไทยกับภูมิปัญญาชาวบ้าน
กล่าวคือ ความสามารถในการอนุรักษ์และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ตามที่กรมช่างสิบหมู่ได้แบ่งไว้มาแต่สมัยโบราณ ซึ่งคำว่าช่างสิบหมู่นี้ไม่ได้หมายว่าเป็นจำนวนสิบ แต่มาจากภาษาบาลีว่า "สิปปะ" ซึ่งตรงกับภาษาสันสกฤตว่า "ศิลปะ" ดังนั้นช่างสิบหมู่จึงหมายถึงงานศิลปะ สำหรับผลงานที่จัดเป็นผลงานทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ประกอบด้วย ช่างออกแบบ ช่างปูน ช่างเลื่อย ช่างก่อ ช่างปั้น ช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างรัก ช่างบุ ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างต่อกำปั่น ส่วนงานช่างสิบหมู่อื่น ๆ ได้จัดไว้อยู่ในสาขาศิลปกรรม เช่น ช่างมุก ช่างหยก ช่างทอง ช่างชาดสีสุก ช่างดอกไม้เพลิง ช่างประดับกระจก เป็นต้น
กล่าวคือ ความสามารถในการอนุรักษ์และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ตามที่กรมช่างสิบหมู่ได้แบ่งไว้มาแต่สมัยโบราณ ซึ่งคำว่าช่างสิบหมู่นี้ไม่ได้หมายว่าเป็นจำนวนสิบ แต่มาจากภาษาบาลีว่า "สิปปะ" ซึ่งตรงกับภาษาสันสกฤตว่า "ศิลปะ" ดังนั้นช่างสิบหมู่จึงหมายถึงงานศิลปะ สำหรับผลงานที่จัดเป็นผลงานทางด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมไทย ประกอบด้วย ช่างออกแบบ ช่างปูน ช่างเลื่อย ช่างก่อ ช่างปั้น ช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างรัก ช่างบุ ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างต่อกำปั่น ส่วนงานช่างสิบหมู่อื่น ๆ ได้จัดไว้อยู่ในสาขาศิลปกรรม เช่น ช่างมุก ช่างหยก ช่างทอง ช่างชาดสีสุก ช่างดอกไม้เพลิง ช่างประดับกระจก เป็นต้น
และสาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง
การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลิตผล เพื่อชะลอการนำเข้าตลาด
เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม
อันเป็นกระบวนการที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้
อุปกรณ์พื้นบ้านที่ใช้ในการประกอบอาชีพ
โกรกกรากเจาะไม้
โกรกกรากเจาะไม้จะแตกต่างกับบิดหล่าในสมัยก่อน ตรงที่บิดหล่าสามารถเจาะได้ลึกและใหญ่กว่า สำหรับโกรกกรากเจาะไม้จะรูดกระบอกไม้ขึ้น ๆ ลง ๆ ทำให้คมเหล็กหมุนได้
การใช้จะใช้มือหนึ่งกดด้าม กดข้างบนอีกมือหนึ่ง จับรูดกรบอกขึ้น ๆ ลง ๆ ให้สุดเกลียว แกนไม้จะหมุนกลับไปกลับมา ทำให้คมเหล็กเจาะไม้ลึกได้อย่างรวดเร็ว โกรกกรากเจาะไม้หรือโกรกกรากเกลียวไม้ในปัจจุบันไม่มีใช้แล้ว ช่างไม้สมัยใหม่จะใช้สว่านมือและสว่านไฟฟ้าแทน
คีมไม้
เคียว
เคียว
เป็นเครื่องมือสำหรับเกี่ยวข้าว เกี่ยวถั่ว และเกี่ยวหญ้าต่าง ๆ
แต่จุดประสงค์ที่สำคัญคือ ใช้เกี่ยวรวงข้าวเป็นหลัก
เมื่อชาวนาปักดำต้นกล้าจนกระทั่งออกรวง
และเมล็ดแก่จัดรวงข้าวเหลืองไปทั่วทุ่งนา แล้วจะใช้ท่อนไม้ไผ่ยาว ๆ
นวดข้าวให้ล้มไปทิศทางเดียวกัน จะได้ใช้เคียวเกี่ยวข้าวได้สะดวก ข้าวไม่พันกัน
เครื่องสีข้าว
เครื่องสีข้าว เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับสีเปลือกข้าวให้ร่อนออกจากเมล็ด
ซึ่งเรียกว่า ข้าวกล้อง แล้วนำไปใส่ครกตำทำให้ข้าวขาวเป็นข้าวสาร
วิธีใส่ครกตำเรียกว่าซ้อมข้าว การสีข้าวมีวิธีการคล้ายโม่แป้ง
เครื่องสีข้าวสานด้วยผิวไม้ไผ่เป็นรูปกระบอก มีขอบสูงทำเป็นถาดรองข้าวกล้อง ส่วนประกอบที่สำคัญ
๕ ส่วน คือ ท่อนฟันบน ท่อนฟันล่าง แกนหมุน ไม้คาน และ คันโยก
คราด
เป็นเครื่องมือใช้สำหรับการทำนาชนิดหนึ่ง
โดยใช้ครูดกับดินที่ไถให้ก้อนดินแตกละเอียด ก่อนที่จะปลูกข้าวหรือหว่านเมล็ดข้าวเปลือก
ไถ
ไถ
เป็นเครื่องมือประกอบการทำนาทำไร่ ใช้ควายหรือวัวลากเพื่อกลับดิน
แล้วใช้คราดหรือขลุบทำดินที่ไถให้เป็นก้อนเล็กลง เพื่อเพาะปลูกพืชได้สะดวก
การใช้ไถของชาวบ้านในเขตหัวเมืองฝ่ายเหนือ
มักใช้ไถเดี่ยวมากกว่าไถคู่ ที่เรียกว่าไถเดี่ยวเพราะใช้ควายลากไถนาเพียงตัวเดียว
เหตุที่นิยมใช้ควายลากเพราะว่ามีความแข็งแรงไม่กลัวฝนที่ตกอยู่เสมอ
หากใช้วัวเตรียมดินเพาะปลูกมักใช้วัวเป็นคู่สำหรับเตรียมลากคราดและขลุบ
ขลุบ หรือล้อปั้นจี่
เป็นพาหนะมีล้อหมุนคล้ายเกวียน
สำหรับบรรทุกหรือลากสิ่งของต่าง ๆ ขลุบคงพัฒนาการมาจากการใช้เลื่อน
ซึ่งทำเป็นขาไม้ไผ่ใช้ควายลาก การใช้เลื่อนเหมาะกับการบรรทุกฟ่อนข้าว
จากแปลงนาไปยังลานนวดข้าวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
หากใช้เลื่อนบรรทุกลากในบริเวณชื้นแฉะมีโคลนเลน เลื่อนจะเบากว่าลากในพื้นดินแห้ง
ขลุบ บางแห่งเรียกว่า ล้อเลื่อน เพราะทำคันชักหรือคันลากคล้ายเลื่อน
ใช้ควายลากตัวเดียวเหมือนกับเลื่อน แต่ทำล้อหมุนได้ จึงเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า
ล้อเลื่อน
ขลุบ
ใช้บรรทุกฟางข้าว ข้าวเปลือก ฟืน ถ่าน ไม้ ฯลฯ
กบไสไม้
กบ
เครื่องมือช่างไม้สำคัญอีกชนิดหนึ่ง
เป็นเครื่องมือแปรรูปไม้ให้ผิวเรียบและได้รูปทรงตามต้องการ ประโยชน์ใช้สอยหลัก ๆ
ของกบคือ ไสให้ผิวหรือหน้าไม้เรียบ
การเรียกชื่อกบมักเรียกตามรูปร่างและลักษณะการใช้สอย เช่น กบคิ้ว กบโค้ง กบทวาย
กบนาง กบบรรทัด กบบังใบ กบบัว กบราง
เครื่องมือช่างไม้และเครื่องมือช่างชนิดต่าง ๆ ของช่างไทยนั้น นอกจากจะมีรูปทรงและทำด้วยวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ยังแสดงถึงความคิดที่แยบยลในการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้ โดยเฉพาะช่างพื้นบ้านที่มักสร้างเครื่องมือใช้เอง ด้วยการเลือกสรรวัสดุเท่าที่หาได้และใช้งานได้ดีมาทำ เช่น การทำกบไสไม้ ช่างจะเลือกไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้เต็ง ไม่ใช้ไม้เนื้ออ่อน เพื่อให้ใช้งานได้ทนทาน ขณะเดียวกันก็ทำรูปทรงให้สอดคล้องกับการใช้งาน สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดพื้นฐานในการออกแบบที่มีอยู่ในตัวช่าง เป็นประสบการณ์ในการทำงานที่หล่อหลอมให้เกิดความคิดในการสร้างรูปแบบต่าง ๆ ประหนึ่งเป็นทฤษฎีการออกแบบที่ศึกษากันในสถาบันการศึกษา เครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านจึงเป็นสิ่งสะท้อนภูมิปัญญาของช่างไทย ได้ดีอีกอย่างหนึ่ง
เครื่องมือช่างไม้และเครื่องมือช่างชนิดต่าง ๆ ของช่างไทยนั้น นอกจากจะมีรูปทรงและทำด้วยวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ยังแสดงถึงความคิดที่แยบยลในการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้ โดยเฉพาะช่างพื้นบ้านที่มักสร้างเครื่องมือใช้เอง ด้วยการเลือกสรรวัสดุเท่าที่หาได้และใช้งานได้ดีมาทำ เช่น การทำกบไสไม้ ช่างจะเลือกไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้เต็ง ไม่ใช้ไม้เนื้ออ่อน เพื่อให้ใช้งานได้ทนทาน ขณะเดียวกันก็ทำรูปทรงให้สอดคล้องกับการใช้งาน สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดพื้นฐานในการออกแบบที่มีอยู่ในตัวช่าง เป็นประสบการณ์ในการทำงานที่หล่อหลอมให้เกิดความคิดในการสร้างรูปแบบต่าง ๆ ประหนึ่งเป็นทฤษฎีการออกแบบที่ศึกษากันในสถาบันการศึกษา เครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้านจึงเป็นสิ่งสะท้อนภูมิปัญญาของช่างไทย ได้ดีอีกอย่างหนึ่ง
บุ้งกี้
ประโยชน์ที่ใช้ เอาไว้ตักดิน
เฝี่ยคู่
ประโยชน์ที่ใช้ เอาไว้พรวนดินในนาข้าว
แนวทางในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย
ในปัจจุบันนี้โลกได้มีการพัฒนาขึ้นมาหลายๆด้านเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์และเด็กรุ่นใหม่ก็สนใจในด้ายเทคโนโลยีกันมาก วิศวกรก็เป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการควบคุมการทำงาน และเครื่องมือช่างต่างๆก็มีความแตกต่างกับช่างในอดีตมากทำให้มีผู้สืบสานน้อยเราจึงควรอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย เกี่ยวกับ ภูมิปัญญาชาวบ้านในด้านเครื่องมือช่างนี้
การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
การอนุรักษ์วัฒธรรมไทยนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกันของคนไทยทุกคนมีวิธีการ ดังนี้
1. ศึกษา ค้นคว้า และการวิจัยวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งที่มีการรวบรวมไว้แล้วและยังไม่ได้ศึกษา เพื่อทราบความหมาย และความสำคัญของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นมรดกของไทยอย่างถ่องแท้ ซึ่งความรู้ดังกล่าวถือเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต เพื่อให้เห็นคุณค่า ทำให้เกิดการยอมรับ และนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ต่อไป
2. ส่งเสริมให้ทุกคนเห็นคุณค่า ร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติและของท้องถิ่นเพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจแก่ประชาชนในการปรับเปลี่ยนและตอบสนองกระแสวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างเหมาะสม
3. รณรงค์ให้ประชาชนและภาคเอกชน ตระหนักในความสำคัญ ของวัฒนธรรมว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้การรับผิดชอบร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน ประสานงานการบริการความรู้ วิชาการ และทุนทรัพย์สำหรับจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม
4. ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยการใช้ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน
5. สร้างทัศนคติ ความรู้ และความเข้าใจว่าทุกคนมีหน้าที่เสริมสร้าง ฟื้นฟู และการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่เป็นสมบัติของชาติ และมีผลโดยตรงของความเป็นอยู่ของทุกคน
6. จัดทำระบบเครือข่ายสารสนเทศทางด้านวัฒนธรรมเพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงาน
การอนุรักษ์วัฒธรรมไทยนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกันของคนไทยทุกคนมีวิธีการ ดังนี้
1. ศึกษา ค้นคว้า และการวิจัยวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งที่มีการรวบรวมไว้แล้วและยังไม่ได้ศึกษา เพื่อทราบความหมาย และความสำคัญของวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นมรดกของไทยอย่างถ่องแท้ ซึ่งความรู้ดังกล่าวถือเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต เพื่อให้เห็นคุณค่า ทำให้เกิดการยอมรับ และนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ต่อไป
2. ส่งเสริมให้ทุกคนเห็นคุณค่า ร่วมกันรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติและของท้องถิ่นเพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจแก่ประชาชนในการปรับเปลี่ยนและตอบสนองกระแสวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างเหมาะสม
3. รณรงค์ให้ประชาชนและภาคเอกชน ตระหนักในความสำคัญ ของวัฒนธรรมว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้การรับผิดชอบร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน ประสานงานการบริการความรู้ วิชาการ และทุนทรัพย์สำหรับจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม
4. ส่งเสริมและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยการใช้ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นสื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน
5. สร้างทัศนคติ ความรู้ และความเข้าใจว่าทุกคนมีหน้าที่เสริมสร้าง ฟื้นฟู และการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่เป็นสมบัติของชาติ และมีผลโดยตรงของความเป็นอยู่ของทุกคน
6. จัดทำระบบเครือข่ายสารสนเทศทางด้านวัฒนธรรมเพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงาน
งานช่างสิบหมู่ช่างพื้นบ้านของไทยสามารถแยกได้ดังนี้
๑. ช่างเขียน
ช่างเขียน คือ บุคคลที่มีฝีมือ และ ความสามารถกระทำการช่าง ในทางวาดเขียน และ ระบายสี ให้เกิดเป็นลวดลาย หรือ รูปภาพต่างๆ ได้อย่างงดงาม เป็นที่พิศวง และ เป็นสิ่งน่าพึงตาพอใจแก่ผู้ได้พบเห็น
ถือเป็นแม่บทของการช่างทั้งมวล ช่างต่างๆ จะต้องผ่านการเรียนและฝึกฝนการเขียนภาพระบายสี การเขียนภาพร่าง การเขียนภาพลงรักปิดทอง ซึ่งช่างจะต้องฝึกฝนการเขียนภาพตามแบบแผนโบราณให้ครบ ๔ หมวด คือ กนก นารี กระบี่ และคชะ
กนก คือ การฝึกร่างลวดลาย ให้รู้จักความประสานสัมพันธ์กันของเส้นที่ผูกรวมกันเป็นลายไทย โดยเฉพาะกนกแบบต่างๆ เช่น กนกสามตัว กนกใบเทศ กนกเปลว ถือเป็นปฐมบทที่ต้องฝึกฝนให้ชำนาญก่อนที่จะทำการช่างอย่างอื่นต่อไป
นารี คือ การเรียนรู้และฝึกฝนเกี่ยวกับการเขียนหน้ามนุษย์ เทวดา นางฟ้า พระ และนาง ซึ่งถือว่าเป็นภาพหลักของภาพไทย เมื่อเขียนได้คล่องแคล่วดีแล้ว จึงฝึกเขียนทั้งตัวในอิริยาบถต่างๆ ภาพเหล่านี้จะแสดงอารมณ์ด้วยกิริยา ใบหน้าของตัวภาพจะไม่แสดงอารมณ์ดังนั้นจึงฝึกฝนเขียนตัวภาพไทยให้งดงามถูกต้องตามแบบแผนของศิลปะไทย นอกจากการฝึกเขียนตัวภาพหลักดังกล่าวแล้ว ยังต้องฝึกการเขียนภาพกากหรือตัวภาพที่เป็นคนธรรมดาและการเขียนภาพจับสำหรับเขียนเรื่องรามเกียรติ์ให้เกิดความชำนาญด้วย
กระบี่ คือ การฝึกเขียนภาพอมนุษย์ต่างๆ ได้แก่ พวกยักษ์ วานร เป็นต้น ในการฝึกจะต้องฝึกจากภาพลิงหรือกระบี่เป็นอันดับแรก เมื่อเขียนได้แม่นยำแล้วจึงฝึกเขียนภาพอื่นต่อไป การฝึกเขียนภาพหมวดนี้จะเป็นประโยชน์ในการเขียนภาพเรื่องรามเกียรติ์
คชะ คือ การฝึกเขียนภาพสัตว์สามัญและภาพสัตว์ประดิษฐ์ต่างๆ โดยเริ่มจากคชะหรือช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ก่อน แล้วจึงฝึกเขียนภาพสัตว์เล็กๆ ต่อไป
การช่างเขียนดังกล่าวถือว่าเป็นวิชาการช่างหลักของการช่างไทย ซึ่งช่างส่วนใหญ่จะต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ก่อนที่จะไปเป็นช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วิหาร หรือประกอบการช่างอื่นต่อไป
กนก คือ การฝึกร่างลวดลาย ให้รู้จักความประสานสัมพันธ์กันของเส้นที่ผูกรวมกันเป็นลายไทย โดยเฉพาะกนกแบบต่างๆ เช่น กนกสามตัว กนกใบเทศ กนกเปลว ถือเป็นปฐมบทที่ต้องฝึกฝนให้ชำนาญก่อนที่จะทำการช่างอย่างอื่นต่อไป
นารี คือ การเรียนรู้และฝึกฝนเกี่ยวกับการเขียนหน้ามนุษย์ เทวดา นางฟ้า พระ และนาง ซึ่งถือว่าเป็นภาพหลักของภาพไทย เมื่อเขียนได้คล่องแคล่วดีแล้ว จึงฝึกเขียนทั้งตัวในอิริยาบถต่างๆ ภาพเหล่านี้จะแสดงอารมณ์ด้วยกิริยา ใบหน้าของตัวภาพจะไม่แสดงอารมณ์ดังนั้นจึงฝึกฝนเขียนตัวภาพไทยให้งดงามถูกต้องตามแบบแผนของศิลปะไทย นอกจากการฝึกเขียนตัวภาพหลักดังกล่าวแล้ว ยังต้องฝึกการเขียนภาพกากหรือตัวภาพที่เป็นคนธรรมดาและการเขียนภาพจับสำหรับเขียนเรื่องรามเกียรติ์ให้เกิดความชำนาญด้วย
กระบี่ คือ การฝึกเขียนภาพอมนุษย์ต่างๆ ได้แก่ พวกยักษ์ วานร เป็นต้น ในการฝึกจะต้องฝึกจากภาพลิงหรือกระบี่เป็นอันดับแรก เมื่อเขียนได้แม่นยำแล้วจึงฝึกเขียนภาพอื่นต่อไป การฝึกเขียนภาพหมวดนี้จะเป็นประโยชน์ในการเขียนภาพเรื่องรามเกียรติ์
คชะ คือ การฝึกเขียนภาพสัตว์สามัญและภาพสัตว์ประดิษฐ์ต่างๆ โดยเริ่มจากคชะหรือช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ก่อน แล้วจึงฝึกเขียนภาพสัตว์เล็กๆ ต่อไป
การช่างเขียนดังกล่าวถือว่าเป็นวิชาการช่างหลักของการช่างไทย ซึ่งช่างส่วนใหญ่จะต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ก่อนที่จะไปเป็นช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วิหาร หรือประกอบการช่างอื่นต่อไป
๒. ช่างแกะ
คือ การช่างเกี่ยวกับการแกะสิ่งต่างๆ ผู้ที่จะเป็นช่างแกะจะต้องฝึกฝนการแกะโลหะ เช่น แกะเงิน แกะทอง รวมถึงการแกะ "คร่ำ" ต่างๆ โดยเฉพาะช่างที่สังกัดในกรมช่างสิบหมู่จะต้องแกะได้ทั้งงานที่มีลวดลายที่ละเอียดประณีต เช่น การแกะตราพระราชลัญจกร ตราประจำตำแหน่ง ตราประจำรัชกาล ตรากฎหมายตราสามดวง จนถึงงานขนาดใหญ่อย่างการแกะสลักไม้หน้าบัน โบสถ์วิหาร การแกะลวดลายบนบานประตู บานหน้าต่าง ลวดลายตกแต่งตู้ และการแกะโขนเรือ-พระที่นั่งต่างๆ เป็นต้น
คร่ำ คือ การตกแต่งโลหะเป็นลวดลายด้วยการฝังเงินและทอง ฝังเงินเรียกว่า คร่ำเงิน ฝังทอง เรียกว่า คร่ำทอง การแกะคร่ำจะใช้เครื่องมือปลายแหลมแกะโลหะที่จะนำมาคร่ำให้เนื้อโลหะฟู แล้งฝังเส้นเงินหรือทองลงไป แล้วย้ำให้แน่นแต่งผิวให้เรียบ จะได้ลวดลายคร่ำตามชนิดของโลหะที่คร่ำ คือ เงินหรือทอง



คือ การช่างเกี่ยวกับการแกะสิ่งต่างๆ ผู้ที่จะเป็นช่างแกะจะต้องฝึกฝนการแกะโลหะ เช่น แกะเงิน แกะทอง รวมถึงการแกะ "คร่ำ" ต่างๆ โดยเฉพาะช่างที่สังกัดในกรมช่างสิบหมู่จะต้องแกะได้ทั้งงานที่มีลวดลายที่ละเอียดประณีต เช่น การแกะตราพระราชลัญจกร ตราประจำตำแหน่ง ตราประจำรัชกาล ตรากฎหมายตราสามดวง จนถึงงานขนาดใหญ่อย่างการแกะสลักไม้หน้าบัน โบสถ์วิหาร การแกะลวดลายบนบานประตู บานหน้าต่าง ลวดลายตกแต่งตู้ และการแกะโขนเรือ-พระที่นั่งต่างๆ เป็นต้น
คร่ำ คือ การตกแต่งโลหะเป็นลวดลายด้วยการฝังเงินและทอง ฝังเงินเรียกว่า คร่ำเงิน ฝังทอง เรียกว่า คร่ำทอง การแกะคร่ำจะใช้เครื่องมือปลายแหลมแกะโลหะที่จะนำมาคร่ำให้เนื้อโลหะฟู แล้งฝังเส้นเงินหรือทองลงไป แล้วย้ำให้แน่นแต่งผิวให้เรียบ จะได้ลวดลายคร่ำตามชนิดของโลหะที่คร่ำ คือ เงินหรือทอง



๓. ช่างสลัก
เป็นการช่างที่มาจากคำว่า "ช่างฉลัก" หมายถึง ช่างสลักของอ่อน เช่น สลักหยวกหรือฉลักกระดาษ แต่เดิมเป็นการช่างที่ทำหน้าที่สลักหยวกหรือแทงหยวกสำหรับประดับเมรุ ประดับพลับพลาชั่วคราว ซึ่งมักนำหยวกหรือกาบกล้วย ฟักทอง มะละกอ มาแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายฟันปลา ลายฟันสาม ลายแข้งสิงห์ สำหรับตกแต่งจิตกาธานหรือแกะสลักเป็นดอกไม้ เรียกเครื่องตกแต่งชั่วคราวเหล่านี้ว่า "เครื่องสด" เพราะเป็นการตกแต่งด้วยของสดนั่นเอง
งานช่างสลักอีกอย่างหนึ่งคือ การสลักกระดาษสี โดยการฉลุหรือตอกด้วยตุ๊ดตู่ให้เป็นลวดลายสำหรับใช้ประดับอาคารต่างๆ
๔. ช่างหุ่น
ได้แก่ การทำหุ่น ตั้งแต่การทำหุ่นด้วยกระดาษ ไม้ เป็นของจำลองสิ่งต่างๆจนถึงการทำหุ่นเพื่อใช้ในการแสดง เช่น หุ่นใหญ่ หุ่นเล็ก ซึ่งเป็นมหรสพของราชสำนักในอดีต


เป็นการช่างที่มาจากคำว่า "ช่างฉลัก" หมายถึง ช่างสลักของอ่อน เช่น สลักหยวกหรือฉลักกระดาษ แต่เดิมเป็นการช่างที่ทำหน้าที่สลักหยวกหรือแทงหยวกสำหรับประดับเมรุ ประดับพลับพลาชั่วคราว ซึ่งมักนำหยวกหรือกาบกล้วย ฟักทอง มะละกอ มาแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายฟันปลา ลายฟันสาม ลายแข้งสิงห์ สำหรับตกแต่งจิตกาธานหรือแกะสลักเป็นดอกไม้ เรียกเครื่องตกแต่งชั่วคราวเหล่านี้ว่า "เครื่องสด" เพราะเป็นการตกแต่งด้วยของสดนั่นเอง
งานช่างสลักอีกอย่างหนึ่งคือ การสลักกระดาษสี โดยการฉลุหรือตอกด้วยตุ๊ดตู่ให้เป็นลวดลายสำหรับใช้ประดับอาคารต่างๆ

๔. ช่างหุ่น
ได้แก่ การทำหุ่น ตั้งแต่การทำหุ่นด้วยกระดาษ ไม้ เป็นของจำลองสิ่งต่างๆจนถึงการทำหุ่นเพื่อใช้ในการแสดง เช่น หุ่นใหญ่ หุ่นเล็ก ซึ่งเป็นมหรสพของราชสำนักในอดีต


๕. ช่างปั้น
การสร้างรูปต่างๆ ด้วยดินเหนียว ปูน ขี้ผึ้งหรือวัสดุอื่นให้เป็นเป็นรูปลอยตัว (round relief) รูปนูน การปั้นรูปต่างๆ ของช่างไทยสมัยโบราณมักปั้นพระพุทธรูป พระพิมพ์รูปคน รูปสัตว์ ด้วยดินเหนียวเป็นต้นแบบก่อนแล้วหล่อด้วยโลหะให้เป็นรูปที่ถาวร ซึ่งการปั้นประเภทนี้ช่างปั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการหล่อด้วย การสร้างรูปอีกประเภทหนึ่งของช่างไทยที่รวมอยู่กับการปั้น ได้แก่ การปั้นเป็นดินดิบและดินเผา มักปั้นเป็นพระพิมพ์ ตุ๊กตาต่างๆการปั้นหุ่นสำหรับปิดกระดาษเป็นหัวโขน เป็นต้น


๖. ช่างหล่อ
ได้แก่ กรรมวิธีในการหล่อโลหะต่างๆ เช่น การหล่อสำริดเป็นสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ พระพุทธรูป เทวรูป รูปสัตว์ ระฆัง และสิ่งอื่นๆ ตามพระราชประสงค์ การหล่อโลหะของไทยมีแบบแผนเป็นของไทยโดยเฉพาะที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ ตั้งแต่กรรมวิธีในการสร้างรูปด้วยแกนทราย การหุ้มขี้ผึ้ง การสำรอกขี้ผึ้งซึ่งมีกรรมวิธีที่ต่างไปจากการหล่อโลหะแบบชาวตะวันตก

๗. ช่างรัก
การช่างที่ต้องเกี่ยวข้องกับ "รัก" ซึ่งเป็นยางไม้ที่ได้จากต้นรัก ช่างไทยได้นำยางรักมาใช้ประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะในงานการช่างนั้น ช่างมักใช้รักเคลือบสิ่งต่างๆ เช่น การเคลือบภาชนะจักสาน หรือภาชนะกลึงที่เรียกว่า "เครื่องเขิน" ใช้รักตำเป็นพื้นสำหรับปิดทองแล้วเขียนลายที่เรียกว่า "ลายรดน้ำ" มักเขียนตกแต่งบานประตู บานหน้าต่าง ตู้พระธรรมคัมภีร์ และอื่น


การสร้างรูปต่างๆ ด้วยดินเหนียว ปูน ขี้ผึ้งหรือวัสดุอื่นให้เป็นเป็นรูปลอยตัว (round relief) รูปนูน การปั้นรูปต่างๆ ของช่างไทยสมัยโบราณมักปั้นพระพุทธรูป พระพิมพ์รูปคน รูปสัตว์ ด้วยดินเหนียวเป็นต้นแบบก่อนแล้วหล่อด้วยโลหะให้เป็นรูปที่ถาวร ซึ่งการปั้นประเภทนี้ช่างปั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการหล่อด้วย การสร้างรูปอีกประเภทหนึ่งของช่างไทยที่รวมอยู่กับการปั้น ได้แก่ การปั้นเป็นดินดิบและดินเผา มักปั้นเป็นพระพิมพ์ ตุ๊กตาต่างๆการปั้นหุ่นสำหรับปิดกระดาษเป็นหัวโขน เป็นต้น



๖. ช่างหล่อ
ได้แก่ กรรมวิธีในการหล่อโลหะต่างๆ เช่น การหล่อสำริดเป็นสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ พระพุทธรูป เทวรูป รูปสัตว์ ระฆัง และสิ่งอื่นๆ ตามพระราชประสงค์ การหล่อโลหะของไทยมีแบบแผนเป็นของไทยโดยเฉพาะที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ ตั้งแต่กรรมวิธีในการสร้างรูปด้วยแกนทราย การหุ้มขี้ผึ้ง การสำรอกขี้ผึ้งซึ่งมีกรรมวิธีที่ต่างไปจากการหล่อโลหะแบบชาวตะวันตก


๗. ช่างรัก
การช่างที่ต้องเกี่ยวข้องกับ "รัก" ซึ่งเป็นยางไม้ที่ได้จากต้นรัก ช่างไทยได้นำยางรักมาใช้ประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะในงานการช่างนั้น ช่างมักใช้รักเคลือบสิ่งต่างๆ เช่น การเคลือบภาชนะจักสาน หรือภาชนะกลึงที่เรียกว่า "เครื่องเขิน" ใช้รักตำเป็นพื้นสำหรับปิดทองแล้วเขียนลายที่เรียกว่า "ลายรดน้ำ" มักเขียนตกแต่งบานประตู บานหน้าต่าง ตู้พระธรรมคัมภีร์ และอื่น


๘. ช่างบุ
การช่างที่มีอยู่ในกรมช่างสิบหมู่สมัยโบราณ ช่างบุจะทำหน้าที่บุโลหะเข้ากับสิ่งต่างๆ เช่น บุแผ่นโลหะลงบนเจดีย์ บุแผ่นเงินหรือทองลงบนพระพุทธรูป เป็นต้น นอกจากนี้ช่างบุยังรวมถึงช่างที่ทำภาชนะโลหะต่างๆ ด้วยการเคาะหรือบุโลหะบนแม่พิมพ์ เช่น การบุทองเหลือง เงิน ทอง เป็นขันหรือภาชนะต่างๆหมู่บ้านที่ทำภาชนะเครื่องใช้โลหะต่างๆ ด้วยวิธีการบุ มักเรียกว่า บ้านบุ ในสมัยโบราณหมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ๆ วัดสุวรรณาราม กรุงเทพมหานครหมู่บ้านช่างบุนี้บางทีก็เรียกชื่อหมู่บ้านตามประเภทของภาชนะที่ทำ เช่น บ้านบาตร เป็นหมู่บ้านทำบาตรพระซึ่งถือเป็นงานช่างประเภทช่างบุ ปัจจุบันบ้านบาตรในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ยังมีการทำบาตรพระอยู่


การช่างที่มีอยู่ในกรมช่างสิบหมู่สมัยโบราณ ช่างบุจะทำหน้าที่บุโลหะเข้ากับสิ่งต่างๆ เช่น บุแผ่นโลหะลงบนเจดีย์ บุแผ่นเงินหรือทองลงบนพระพุทธรูป เป็นต้น นอกจากนี้ช่างบุยังรวมถึงช่างที่ทำภาชนะโลหะต่างๆ ด้วยการเคาะหรือบุโลหะบนแม่พิมพ์ เช่น การบุทองเหลือง เงิน ทอง เป็นขันหรือภาชนะต่างๆหมู่บ้านที่ทำภาชนะเครื่องใช้โลหะต่างๆ ด้วยวิธีการบุ มักเรียกว่า บ้านบุ ในสมัยโบราณหมู่บ้านนี้อยู่ใกล้ๆ วัดสุวรรณาราม กรุงเทพมหานครหมู่บ้านช่างบุนี้บางทีก็เรียกชื่อหมู่บ้านตามประเภทของภาชนะที่ทำ เช่น บ้านบาตร เป็นหมู่บ้านทำบาตรพระซึ่งถือเป็นงานช่างประเภทช่างบุ ปัจจุบันบ้านบาตรในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ยังมีการทำบาตรพระอยู่


๙. ช่างมุก
การช่างเก่าแก่ของไทยประเภทหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา การประดับมุกจะต้องใช้เปลือกมุกฉลุเป็นลวดลายแล้วประดับลงบนสิ่งต่างๆ โดยมีรักเป็นพื้น เช่น การประดับมุกบนบานประตูปราสาท บานประตูและบานหน้าต่างโบสถ์ วิหาร จนถึงการประดับมุกลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ประดับมุกบนเตียบสำหรับใส่อาหารของพระภิกษุ การประดับมุกลงบนพาน เครื่องดนตรี โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น


๑๐. การช่างเบ็ดเตล็ด
ได้แก่ การช่างประเภทต่างๆ ที่เคยปรากฏเป็นกรมช่างในสมัยโบราณ เป็นการช่างสำหรับสร้างสิ่งของเครื่องใช้ที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์และพระพุทธศาสนาในอดีตมากมายหลายประเภท ที่สูญหายไปก็มากเพราะหมดความจำเป็นในการใช้สอยเช่นการช่างเก่าแก่ของไทยประเภทหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา การประดับมุกจะต้องใช้เปลือกมุกฉลุเป็นลวดลายแล้วประดับลงบนสิ่งต่างๆ โดยมีรักเป็นพื้น เช่น การประดับมุกบนบานประตูปราสาท บานประตูและบานหน้าต่างโบสถ์ วิหาร จนถึงการประดับมุกลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ประดับมุกบนเตียบสำหรับใส่อาหารของพระภิกษุ การประดับมุกลงบนพาน เครื่องดนตรี โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น


๑๐. การช่างเบ็ดเตล็ด
ช่างกระเบื้อง การช่างเกี่ยวกับการทำเครื่องเคลือบดินเผา โดยเฉพาะการทำกระเบื้องของหลวงสำหรับมุงหลังคาปราสาทราชวัง วัดวาอาราม
ช่างกระดาษ การช่างเกี่ยวกับการฉลักหรือฉลุกระดาษเพื่อใช้ประดับพลับพลา หรือพระเมรุของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์
ช่างดอกไม้เพลิง การช่างเกี่ยวกับการประดิษฐ์พลุ ดอกไม้เพลิงต่างๆ สำหรับใช้ในงานพระราชพิธี
นอกจากนี้ยังมีการช่างอื่นๆ อีก เช่นช่างดีบุก ช่างทอง ช่างสนะ (ช่างทำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม) การช่างเหล่านี้ได้สูญหายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
การช่างของไทยที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วพัฒนาเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาตามสภาพสังคมขนบประเพณีและวัฒนธรรมแต่ละยุคแต่ละสมัยการช่างเหล่านี้เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของช่างไทยที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยเป็นพื้นฐานของการช่างไทย การช่างบางประเภทยังคงสืบทอดกันมาจนปัจจุบัน แสดงให้เห็นมรดกทางภูมิปัญญาของช่างไทยได้เป็นอย่างดี


นอกจากการช่างของไทยแล้ว ถิ่นที่อยู่ของช่าง คือ "หมู่บ้านช่าง" ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
หมู่บ้านช่าง มีทั้งในชนบทและในเมืองหลวง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครสมัยโบราณนั้น เป็นศูนย์กลางในการผลิตหัตถกรรมหลายสิ่งหลายอย่างและมักทำรวมๆ กันอยู่เป็นย่านๆดังที่ปรากฏชื่อย่านหรือหมู่บ้านที่ทำงานช่างหัตถกรรมอยู่จนทุกวันนี้หลายแห่ง เช่น
บ้านหม้อ อยู่ในเขตพระนคร แขวงพระบรมมหาราชวัง แต่เดิมคงเป็นหมู่บ้านผลิตหรือขายเครื่องปั้นดินเผา ประเภทหม้อข้าวหม้อแกงดินเผา โอ่ง อ่าง กระถาง และภาชนะดินเผาต่างๆ ทุกวันนี้ไม่มีจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผาแล้วแต่ชื่อบ้านหม้อยังคงเรียกขานกันอยู่
บ้านบาตร อยู่ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายแขวงสำราญราษฎร์ ใกล้กับวัดสระเกศ เป็นย่านที่ทำบาตรพระมาแต่โบราณ ทุกวันนี้ก็ยังมีทำอยู่บ้าง เป็นหมู่บ้านการช่างที่เก่าแก่โบราณมากแห่งหนึ่ง
บ้านตีทอง อยู่แถวถนนตีทอง เขตพระนครแขวงเสาชิงช้า เป็นย่านที่ตีทองคำให้เป็นทองคำเปลวเพื่อใช้ปิดพระพุทธรูป ปิดหน้าบันโบสถ์วิหาร ใช้ทำลายรดน้ำ ลายทอง และงานช่างศิลป์อื่นๆ ปัจจุบันยังมีการตีทองอยู่บ้างในบริเวณหน้าวัดและหลังวัดบวรนิเวศวิหาร
บ้านพานถม อยู่ในเขตพระนคร แขวงบ้านพานถม ในสมัยโบราณเป็นแหล่งทำเครื่องโลหะและเครื่องถมที่สำคัญแห่งหนึ่ง
บ้านลานทอง อยู่ในเขตพระนคร แขวงบางขุนพรหม เป็นย่านที่เคยทำใบลานสำหรับใช้จารหรือเขียนคัมภีร์ที่พระใช้เทศน์ ทุกวันนี้ยังมีทำอยู่บ้าง
บ้านช่างหล่อ ปัจจุบันเป็นแขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย เป็นแหล่งปั้นและหล่อพระพุทธรูปมาแต่โบราณ ทุกวันนี้ยังมีการปั้นและหล่อพระพุทธรูปและรูปประติมากรรมต่างๆ ด้วยทองเหลืองและสำริดกันอยู่หลายบ้าน
บ้านขันบุและบ้านพาน เดิมอยู่ปากคลองบางกอกน้อย เป็นแหล่งทำขันและพานโลหะเช่น ขันทองเหลือง ด้วยวิธีการบุ จึงเรียกว่าบ้านบุ หรือบ้านขันบุ ปัจจุบันไม่มีทำแล้ว
บ้านครัว เป็นหมู่บ้านแขกจามที่อพยพเข้ามาในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และตั้งถิ่นฐานอยู่ริมคลองมหานาคและคลองแสนแสบ ปัจจุบันอยู่กันเป็นชุมชนใหญ่ประมาณ ๖๐๐ ครอบครัวแต่เดิมชาวบ้านครัวมีความสามารถในการทอผ้าไหมได้งดงามเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง ปัจจุบันการทอผ้าไหมที่บ้านครัวยังมีทออยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนสมัยก่อน
นอกจาก "ย่าน" หรือหมู่บ้านที่ทำงานช่างประเภทต่างๆ ในกรุงเทพมหานครในสมัยโบราณซึ่งบางแห่งยังทำงานช่างสืบต่อมาจนทุกวันนี้แล้ว ในจังหวัดต่างๆ ก็ยังมีหมู่บ้านหัตถกรรมหรือหมู่บ้านช่างที่มีการทำงานช่างหัตถกรรมกระจายอยู่ตามภาคต่างๆ มากมายหลายแห่ง บางแห่งก็เรียกชื่อหมู่บ้านตามประเภทของงานช่างที่ทำ เช่น บ้านหม้อ บ้านดาบ (หมู่บ้านทำมีดดาบ) บ้านกระดาษ บ้านดินสอ หรือบางหมู่บ้านเป็นแหล่งผลิตงานหัตถกรรมหรือเป็นหมู่บ้านที่ทำงานช่างคุณภาพดีเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น บ้านหาดเสี้ยว ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นแหล่งผลิตผ้าทอมือที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี โดยเฉพาะผ้าซิ่นตีนจกและผ้าที่ทอเป็นลวดลายต่างๆ ล้วนสวยงามน่าใช้แทบทั้งสิ้น
ลับแล อำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแหล่งทอผ้าซิ่นตีนจกที่สวยงาม ส่วนมากทอมาจากหมู่บ้านต่างๆ ในตำบลชัยจุมพล ตำบลศรีนพมาศ ผ้าที่ทอจากหมู่บ้านเหล่านี้มักเรียกกันว่า ผ้าลับแล
บ้านพุมเรียง หมู่บ้านทอผ้ายกที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ อยู่ในตำบลพุมเรียง อำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันยังมีการทอผ้าไหมและผ้ายกอยู่หลายหลังคาเรือน
บ้านเขว้า หมู่บ้านในตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ เป็นหมู่บ้านทอผ้าพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคอีสาน
บ้านนาหมื่นศรี หมู่บ้านในตำบลนาหมื่นศรี อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เป็นแหล่งทอผ้าพื้นเมืองของภาคใต้ที่สำคัญแห่งหนึ่ง
เกาะยอ เกาะที่มีฐานะเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นแหล่งผลิตผ้าพื้นบ้านพื้นเมืองที่สำคัญมาแต่โบราณ โดยเฉพาะผ้าเกาะยอ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป
แม่แจ่มและจอมทอง ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งที่มีการทอผ้าพื้นบ้านพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคเหนือ โดยเฉพาะผ้าซิ่นตีนจกของแม่แจ่มนั้นมีลวดลายและสีสวยงามมาก นอกจากนี้ในหลายหมู่บ้านในจังหวัดลำพูนก็มีชื่อในการทอผ้ายกไหมและผ้าทอพื้นเมือง
นอกเหนือไปจากหมู่บ้านทอผ้าพื้นเมืองในภาคต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีหมู่บ้านช่างที่ทำงานหัตถกรรมประเภทอื่นๆ อีกมาก เช่นหมู่บ้านทำเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเหมืองกุง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านทุ่งหลวง ตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย บ้านด่านเกวียน ตำบลท่าอ่าง อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา บ้านสทิงหม้อ ตำบลสทิงหม้ออำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นต้น
หมู่บ้านเครื่องจักสาน มีทำกันหลายหมู่บ้านในทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น บ้านบางเจ้าฉ่าอำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง หมู่บ้านทำเครื่องจักสานในบริเวณอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีหมู่บ้านทำเครื่องจักสานยานลิเพา บ้านหมนตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นต้น
หมู่บ้านเครื่องโลหะ ซึ่งมีการทำโลหะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยทองเหลืองและเหล็ก เช่นการทำเต้าปูนและเครื่องใช้ทองเหลือง บ้านปะอาวตำบลหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราช-ธานี การตีเหล็กเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทมีด จอบ เสียม ขวาน ที่รู้จักกันในชื่อ หมู่บ้านอรัญญิก ที่บ้านต้นโพธิ์ ตำบลท่าช้าง ตำบลสามไถ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การทำเครื่องถม ในบริเวณอำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
หมู่บ้านเครื่องไม้แกะสลัก เช่น หลายหมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ หลายหมู่บ้านในเขตอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน บ้านเมืองเก่า ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหมู่บ้านช่างที่ทำงานหัตถกรรมพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยยังมีอีกมากมายหมู่บ้านเหล่านี้เป็นแหล่งสืบทอดการช่างของไทยที่สำคัญ ทำให้การช่างต่างๆ ดำรงอยู่สืบมาจนทุกวันนี้
เรื่องราวของช่าง การช่าง และหมู่บ้านช่างของไทยเราที่มีมาแต่สมัยโบราณนั้น เป็นสิ่งที่พวกเราควรภูมิใจเพราะช่างและการช่างของไทยช่วยให้เรามีสิ่งของเครื่องใช้ บ้านเรือนพระราชวัง วัด ที่สวยงามเป็นของเรามาจนทุกวันนี้
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)